หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

"Hand On!" CTR 360 Maestri II "Loyal Blue"


มาอย่างต่อเนื่องทีเดียว  สำหรับเซ็ตรองเท้าฟุตบอลจากไนกี้  ต้อนรับซีซั่นของปี 2012

   รองเท้าฟุตบอลสายพันธุ์เก่งรอบด้าน ไนกี้ CTR 360 ในเจเนอเรชั่นที่ 2 ถือเป็นรองเท้าฟุตบอลที่ได้
รับความนิยมมากที่สุดตลอดปี 2011 ที่ผ่านมา  เรียกได้ว่ากระแสตอบรับจากผู้ใช้งานร้อนแรงตั้งแต่ช่วงที่
เปิดตัวตอนต้นปี 2011  ต่อเนื่องยาวจนข้ามปีมาถึงปี 2012  ที่ไนกี้เปิดตัวคอลเลคชั่นแรกของปีนี้ด้วย
เฉดสีใหม่ล่าสุด  ที่มีรหัสสีอย่างเป็นทางการว่า " Loyal Blue/White/Bright Blue/Total Orange" หรือ
ขอเรียกสั้นๆ ว่า "รอยัล บลู" ถือเป็นเฉดสีแรกของ CTR 360 II ที่มาในลักษณะ "สีล้วน"  หลังจากที่
ก่อนหน้านี้  เฉดสีทั้งหมดที่ไนกี้ผลิตออกมาจำหน่ายจะเป็นเฉดสีทูโทนมาโดยตลอด

   ก่อนที่เราจะไปยลโฉมรองเท้าฟุตบอลคู่นี้  ผมต้องขอขอบพระคุณบริษัท ไนกี้ (ประเทศไทย) จำกัด
ที่ใจดีสนับสนุน CTR 360 Maestri II "รอยัล บลู" มาให้ SiamBoots ได้นำเสนอให้ทุกท่านได้ชมกัน
สำหรับเฉดสี "รอยัล บลู" ถือเป็นเฉดสีที่ 8 อย่างเป็นทางการของเจเนอเรชั่นนี้  และเป็นเฉดสีที่ 2 ที่จะ
ไม่มีการผลิตรองเท้าระดับสุดยอดอย่างรุ่น Elite ออกมาจำหน่าย

รองเท้าฟุตบอลรุ่นไนกี้ CTR 360 Maestri II ยังคงมาในกล่องรองเท้าสีส้มสุดแสบตา  ถือเป็นเอกลักษณ์
ของผลิตภัณฑ์จากไนกี้ไปแล้ว  และเมื่อเปิดฝากล่องขึ้นมา  จะพบกับรองเท้าฟุตบอลเก่งรอบด้านในเฉดสี
น้ำเงิน "รอยัล บลู" สุดงดงามนอนตะแคงรออยู่ในกล่อง  ที่มาพร้อมกับป้ายราคา 6,500 บาท และป้าย
Kanga-Lite ซึ่งระบุข้อมูลถึงหนังสังเคราะห์แบบพิเศษของไนกี้ที่ใช้กับรองเท้าฟุตบอลคู่นี้  และที่ใต้ฝากล่อง
จะมีการแผ่นข้อมูลที่ระบุถึงเทคโนโลยีที่โดดเด่นของรองเท้าฟุตบอลรุ่นนี้เอาไว้อย่างชัดเจน  สามารถเลือก
อ่านได้ถึง 3 ภาษาตามความถนัดของแต่ละท่านกันเลย   

และแน่นอนว่ารองเท้าฟุตบอลระดับท็อปของไนกี้ทุกรุ่นทุกซีรี่ย์  จะต้องมีถุงเป้สำหรับใส่รองเท้าที่มีดีไซน์
และเฉดสีเฉพาะตัว  เพื่อให้เข้ากับรองเท้าฟุตบอลที่ท่านเลือกซื้อมาใช้  และ CTR 360 Maestri II "รอยัล
บลู"
คู่นี้ก็เช่นกัน  ที่ท่านจะได้ถุงเป้ใส่รองเท้าในเฉดสีน้ำเงินเข้ม-ม่วง  โดยที่ตรงกลางของถุงเป้นั้น
จะมีการสกรีนว่า "CTR 360" และ "Nike Football" คนละด้านกันด้วยสีส้มสุดโดดเด่น  และด้านในของ
กระเป๋าจะมีช่องซิปสำหรับให้ใส่ของเล็กๆ น้อยๆ ได้อีกด้วย
แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วลักษณะเฉดสีของเจ้า CTR 360 Maestri II "รอยัล บลู" จะมีการลงเฉดสี
แบบทูโทน  โดยส่วนหน้านั้นจะออกเป็นสีน้ำเงิน-ม่วง  และด้านหลังจะเป็นสีน้ำเงินเมทัลลิค  แต่ด้วยความ
กลมกลืนและลงตัวของเฉดสีทั้งสองก็พอจะอนุโลมให้มองออกเป็นการใช้สีแบบสีล้วนสีเดียวทั้งคู่  โดยที่
เฉดสีหลักของตัวรองเท้านั้นจะไม่ใช่เฉดสีที่ช่วยสร้างโดดเด่น  เพราะเมื่อเทียบกับตราสัญลักษณ์ของไนกี้
ขนาดเล็ก "สีส้มสะท้อนแสง" ที่อยู่บริเวณหัวรองเท้า  ซึ่งตัดกับสีน้ำเงิน-ม่วง สีหลักของตัวรองเท้า  จึง
ทำให้เกิดความโดดเด่นบาดตาเสียเหลือเกิน    ถือเป็นจุดที่ช่วยสร้างความโดดเด่นให้กับรองเท้าฟุตบอล
คู่นี้ในยามที่อยู่ในสนามฟุตบอลได้เป็นอย่างดี   ในขณะที่ตราสัญลักษณ์ไนกี้บริเวณข้างเท้าด้านนอกนั้น
จะเป็นตราขนาดใหญ่สีขาว  มีลักษณะเป็นวัสดุจำพวกยาง  มีการเคลือบผิวให้เงางามและโดดเด่น 

วัสดุหนังสังเคราะห์ที่มีชื่อเรียกว่า "แคงกาไลท์" (Kanga-Lite Leahter)  เอกสิทธิ์เฉพาะของไนกี้ 
ถูกนำมาใช้ผลิตเป็นหน้าผ้าและตัวรองเท้าทั้งหมดให้กับรองเท้าฟุตบอลคู่นี้  ผิวหน้าของหนังจะมีลวดลาย
เฉพาะตัว  สรรพคุณของหนังสังเคราะห์แคงกาไลท์ก็คือ  เป็นสังเคราะห์ที่มีความหนานุ่ม  และทนทาน
เทียบเท่ากับหนังสัตว์แท้  (หนังจิงโจ้)  แต่มีความได้เปรียบในเรื่องของความกระชับที่ดีกว่า  ที่สำคัญ
ยังสามารถออกแบบเฉดสีได้ง่ายกว่าอีกด้วย  จึงไม่แปลกที่เราได้เห็น CTR 360 Maestri II ในเฉดสี
"รอยัล บลู" เช่นนี้  และไม่จำเป็นต้องใช้แนวด้ายเย็บบนหน้าผ้ามากมายเหมือนกับพวกรองเท้าหนังแท้
หากลองสัมผัสหน้าผ้าและตัวรองเท้า   จะสามารถรู้สึกได้ถูกความหนาและหนักแน่นของรองเท้าคู่นี้ได้
อย่างชัดเจน

  อุปกรณ์ลูกเล่นชิ้นแรกที่จะขอนำเสนอ  มีชื่อเรียกว่า "Damping Pads" เป็นพื้นที่รูปร่างสามเหลี่ยม
สองตอน  มีพื้นผิวที่นูนขึ้นมาจากตัวรองเท้า  มีลักษณะแข็งกว่าหน้าผ้าส่วนอื่นๆ  และที่มีผิวหน้าเป็น
ลวดลายสามเหลี่ยม   ทำหน้าที่ในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสัมผัสกับลูกฟุตบอล  โดยเฉพาะ
การส่งบอลด้วยข้างเท้าด้านนอก  ความแข็งของอุปกรณ์ชิ้นนี้จะช่วยส่งผ่านแรง   ให้ลูกฟุตบอลนั้น
ถูกส่งออกไปยังเพื่อนร่วมทีมของคุณได้อย่างมีน้ำหนักและแม่นยำมากขึ้นดั่งที่ใจต้องการ

   ลักษณะของแนวร้อยเชือกรองเท้าที่เป็นแบบเบ้เข้า  ได้รับการออกแบบให้แนวร้อยเชือกรองเท้า
นั้นช่วยเพิ่มพื้นที่ในการสัมผัสบอลของข้างเท้าด้านใน  ซึ่งเป็นแนวคิวหลักของรองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์
นี้มาตั้งแต่แรกเริ่ม  เชือกรองเท้าแบบมาตรฐานที่ติดตัวมาจากสายการผลิต  จะเป็นเชือกรองเท้าสี
น้ำเงิน  ซึ่งหากสังเกตดีๆ จะพบเป็นมีโทนสีอยู่ตรงกึ่งกล่างระหว่างโทนสีน้ำเงิน-ม่วง  และสีน้ำเงิน
ของพื้นที่ส่วนหน้าและส่วนหลังของรองเท้าตามลำดับ
  
   อุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ถือเป็นจุดขายอันดับต้นๆ ของรองเท้าฟุตบอลคู่นี้  ก็คือแถบยางที่มีชื่อเรียกว่า
"แถบยางรับบอล" (Receive Pad) เป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการสัมผัสกับลูกฟุตบอล
ใช้งานได้ทั้งการรับบอลที่ถูกส่งมาด้วยความแรง  ให้นิ่งและติดกับเท้าของเรา  ทำให้ง่ายต่อการควบคุม
และเล่นในจังหวะถัดไป  รวมถึงการควบคุมทิศทางของลูกฟุตบอลที่ถูกส่งออกไปจากเท้าของเรา  ให้มี
น้ำหนักและง่ายต่อการควบคุม  ที่สำคัญในรุ่นท็อปจะมี "ซี่ฟันยาง"  (Swerve Pins) ในแนวด้านบน
อีกด้วย  เพื่อประโยชน์ในการสัมผัสและปั่นโค้งให้กับลูกฟุตบอลนั่นเอง  สำหรับ "แถบยางรับบอล"
(Receive Pad)
ที่ท่านเห็นในภาพนั้น จะเป็นแถบยางบริเวณด้านหน้า  มีพื้นที่ขนาดใหญ่ให้สามารถใช้
งานได้ง่าย  ที่สำคัญ...ไนกี้ CTR 360 Maestri II "รอยัล บลู" คู่นี้  เป็นเฉดสีแรกที่มีแถบยางรับบอล
เป็นเฉดสีที่เข้ากันกับเฉดสีหลักของตัวรองเท้า  เพราะเฉดสีทั้งหมดก่อนหน้านี้จะมีแถบยางรับบอล
เป็นสีดำเพียงอย่างเดียว  ซึ่งบางทีก็ดูสวยงามเข้ากันกับองค์ประกอบสีของรองเท้า  แต่บางครั้งก็ไม่เข้าจนถึงขั้นออกแนวไม่สวยเลยเสียด้วยซ้ำ...

  อุปกรณ์แถบยางอีกอันหนึ่งที่ถัดมาทางด้านหลังนั้นมีชื่อเรียกว่า "แถบยางส่งบอล" (Instep Pad)
จุดประสงค์หลักของอุปกรณ์ชิ้นนี้คือจะช่วยทำให้ทิศทางขอลูกฟุตบอลที่ถูกแปรส่งออกไปจากเท้านั้น
มีความแม่นนำและมีน้ำหนักมากขึ้น  โดยเฉพาะผู้เล่นที่มีลักษณะการส่งบอลแบบ "กระทุ้ง" บอลด้วย
ข้างเท้าด้านในแบบเน้นๆ  จะได้รับประโยชน์ของลูกเล่นชิ้นนี้ไปเต็มๆ โดยวัสดุที่ใช้นั้นจะเป็นพื้นยาง
ที่มีหน้าตัดเรียบ  และมีความหนามากกว่าแถบยางรับบอลเล็กน้อย  โดยระหว่าง "แถบยางรับบอล"
กับ "แถบยางส่งบอล" จะมีโครงสร้างหน้ายางตามแนวยาวช่วยพยุงให้พื้นที่ข้างเท้าด้านในของ
รองเท้าคู่นี้มีความแข็งแรงและมีลักษณะแข็งตัว  เพื่อให้การใช้งานอุปกรณ์และเทคโนโลยีต่างๆ นั้น
เป็นไปได้อย่างแม่นยำและมั่นใจได้เป็นอย่างดี

แถบสีเงินตอนท้ายของรองเท้านั้นถูกออกแบบให้สามารถสะท้อนแสงได้  แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว
อาจจะไม่สามารถใช้ประโยชน์เกี่ยวกับการสัมผัสกับลูกฟุตบอลได้  แต่ก็มีโอกาสที่จะช่วยให้เพื่อนร่วมทีม
สามารถสังเกตเห็นคุณได้จากแถบสะท้อนแสงนี้ก่อนสิ่งอื่นใด  แน่นอนว่าโอกาสที่คุณจะได้รับการส่งบอล
จากเพื่อนร่วมทีมก็จะมีมากขึ้นนั่นเอง

   ในส่วนของเกราะกันกระแทกและป้องกันเอ็นร้อยหวายของ CTR 360 Maestri II จะเป็นเกราะป้องกัน
แบบภายใน (Internal Heel Counter) ออกแบบให้มีเข้ารูปและกลมกลืนกับส้นรองเท้า  และมีพื้นผิวที่ถูก
เจาะรูเพื่อช่วยในการระบายอากาศ  และจากรูปด้านบนจะเห็นได้ถึงความเงางามของเฉดสีน้ำเงินเมทัลลิค
ซึ่งเป็นเฉดสีส่วนหลังของไนกี้ CTR 360 Maestri II "รอยัล บลู" คู่นี้ได้อย่างชัดเจนเลยล่ะ


หุ้มส้นผิวหน้าแบบหนังกำมะหยี่ จะช่วยสร้างความกระชับกับข้อเท้าของผู้ส่วมใส่ได้เป็นอย่างดี
ที่สำคัญก็คือหุ้มส้นแบบนี้จะไม่กัดข้อเท้าของผู้ส่วมใส่อย่างแน่นอน  ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถหา
ได้จากรุ่นอื่นๆ  หุ้มส้นด้านในตลอดจึงถึงตัวรองเท้าบริเวณนี้  จะมีความหนาเป็นอย่างมากเทียบกับ
รองเท้ารุ่นอื่นๆ  มีข้อดีในเรื่องของการสร้างความกระชับและการป้องกันจากการปะทะ  สามารถล็อก
ข้อเท้าของผู้ส่วมใส่ได้อย่างแน่นหนา

   ในขณะที่แผ่นรองพื้นด้านในซึ่งผลิตจาก EVA foam ซึ่งเป็นวัสดุประเภทโฟมที่ช่วยในการรองรับ
แรงกระแทกจากการเคลื่อนที่ได้เป็นอย่างดี  โดยผิวหน้าของแผ่นรองพื้นจะมีการเคลือบผิวลักษณะ
เป็นผิวยาง  และมีลวดลายสามเหลี่ยมตามธีมของเจเนอเรชั่นนี้  ซึ่งมีพื้นผิวที่นูนขึ้นมาเพื่อสร้างแรง
เสียดทานให้ยึดเกาะกับเท้าของผู้เล่นได้ดี    ไม่ให้เกิดอาการลื่นไถลเพื่อเท้าของผู้ส่วมใส่เปียกเหงื่อ
โดยที่ด้านใต้ของแผ่นรองพื้นนี้  จะมีการเสริมวัสดุ Poron แบบแยก 2 ส่วน  คือส่วนส้นเท้าและฝ่าเท้า
นวัตกรรมทางวัสดุอันเลื่องชื่อของไนกี้ ที่สามารถช่วยรองรับและผ่อนแรงกระแทกจากการเคลื่อนที่
ได้เป็นอย่างดี  ทำให้ทุกการเคลื่อนที่นั้นมีความนุ่มนวลและแม่นยำ  ยิ่งสร้างความมั่นใจในการใช้งาน

 ชุดพื้นและปุ่มแบบ FG ที่มีลักษณะแนววางปุ่มเฉพาะตัวของรองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์นี้  โดยชุดพื้นจะเป็น
แบบชิ้นเดียวกันทั้งหมด  ผลิตจากพลาสติก TPU  มีความแข็งแรงทนทาน  ที่สำคัญคือจะมีการครอบชั้น
พลาสติกใสที่ผิวหน้าอีกชั้นหนึ่ง  ทำให้ดูหรูหราน่าสัมผัส  ปุ่มแบบ FG มีขนาดไม่ใหญ่มาก  ความยาวปุ่ม
กำลังพอดี  ฐานปุ่มอาจจะแคบไปหน่อย  แต่ด้วยจำนวนปุ่มที่มากถึง 16 ปุ่ม  กระจายตัวกันเต็มพื้นที่
จึงช่วยทำหน้าที่กระจายแรงได้เป็นอย่างดี  ทำให้ชุดพื้นและปุ่มของรองเท้ารุ่นนี้สามารถใช้งานได้อย่าง
สบายเท้า  โดยเฉพาะแนววางปุ่ม "วงกลม" ตรงกลางฝ่าเท้า  มีสรรพคุณช่วยให้การกระจายแรงเกิดขึ้น
ได้อย่างรอบด้าน  สามารถเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ปลายปุ่มทุกปุ่มของรองเท้า
คู่นี้จะมีการครอบด้วยพลาสติก TPU ใส อีกชั้นหนึ่งเพื่อความคงทนแข็งแรงและสวยงาม  ยกเว้นปุ่มคู่หลัง
ที่จะครอบชั้นด้วยพลาสติกสีส้มโดดเด่นกว่าปุ่มคู่อื่นๆ เป็นอย่างมาก  แต่สำหรับลวดลายกราฟฟิกด้านใต้
ชุดพื้นตรงบริเวณฝ่าเท้าของ CTR 360 Maestri II เฉดสี "รอยัล บลู" นั้นจะไม่โดดเด่นมากนัก  เพราะ
โทนสีค่อนข้างกลมกลืนกัน  แต่ลวดลายตรงส้นเท้านั้นจะโดดเด่นกว่ามาก   เพราะถูกลงสีด้วยสีส้มซึ่งตัด
กับสีน้ำเงิน-ม่วงซึ่งเป็นสีพื้นอย่างชัดเจน
  
แม้ว่าเมื่อตอนที่รองเท้าสายพันธุ์เก่งรอบด้านจากไนกี้ CTR 360 Maestri II ถูกเปิดตัวไปตอนต้นปี 2011
ผมจะเคยได้ทำรีวิวทดสอบการใช้งานรองเท้าฟุตบอลรุ่นนี้ไปเรียบร้อยแล้ว  แต่ถ้าถามว่า...แล้วครั้งนี้จะมี
รีวิวการทดสอบการใช้งาน CTR 360 Maestri II "รอยัล บลู" อีกหรือเปล่า !?!?  "มีครับ" แม้ในภาพรวม
รายละเอียดทางเทคนิคและการใช้งานนั้นจะไม่แตกต่างกันเลย  แต่ผมคิดว่าผมอยากจะเขียนรีวิวทดสอบ
การใช้งานจริง  โดยอัพเดทให้เป็นข้อมูลล่าสุด  เพื่อประโยชน์ของผู้อ่านทุกท่าน  และเชื่อว่ายังหลงเหลือ
อีกหลายท่านที่ยังไม่ได้อ่านบทความรีวิวทดสอบการใช้งานในครั้งนั้น  พร้อมเสริมเติมแต่งรายละเอียดต่างๆ
ให้มันครบถ้วนสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น  ดังนั้นทุกท่านสามารถติดต่อรออ่านได้ที่นี่ในเร็วๆ นี้...แน่นอน

เป็นอย่างไรกันบ้างกับเฉดสีใหม่ต้อนรับปี 2012 ของรองเท้าฟุตบอลไนกี้ CTR 360 Maestri II
ที่มีรหัสเรียกสั้นๆ ว่า "รอยัล บลู"  อ้อ..แล้วต้องไม่ลืมนะครับว่ารองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์นี้ได้รับการ
โหวตเข้าป้ายเป็นรองอันดับหนึ่ง "รองเท้าฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี 2011" จากชาว SiamBoots
อีกด้วย  ดังนั้นถ้าท่านใดสนใจที่จะลงสนามบัญชาเกมและควบคุมทุกสถานการณ์ในสนามแข่ง
ด้วย CTR 360 Maestri II "รอยัล บลู" คู่นี้  ตอนนี้ได้เริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยตั้งแต่วันที่
9 มกราคม 2555  ในราคา 6,500 บาท โดยวางจำหน่ายที่ร้านไนกี้ ชั้น 1 สยามเซ็นเตอร์  , ไนกี้
คอร์เนอร์  ชั้น 3 สยาม พารากอน , ชั้น 3 ซูเปอร์สปอร์ต เซ็นทรัลเวิลด์,  เอฟ.บี.ที. สปอร์ตคอม
เพล็กซ์  และร้านนกแก้ว สามารถหารายละเอียดเพิ่มได้ที่ nikefootball.in.th หรือ
facebook.com/nikefootballth

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น