หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

"Hand On!" T90 Laser IV "The Perfect Strike"

 มาอยู่ในมือของผมอย่างเป็นทางการแล้ว  สำหรับรองเท้าฟุตบอลรุ่นใหม่ล่าสุดจากไนกี้
ที่มาพร้อมกับคำจำกัดความว่า "The Perfect Strike"  นั่นคือ "T90 Laser IV" รองเท้า
ฟุตบอลพันธุ์ดุเจ้าของฉายาเครื่องจักรสังหารประตู  แล้วจะไม่ลองมาทำความรู้จักกันอย่าง
เป็นทางการกันหน่อยเหรอ !?

   
   นับเป็นเจเนอเรชั่นที่ 8 ของรองเท้าฟุตบอลตระกูล Total 90 ที่ไนกี้ได้เริ่มออกแบบภายใต้
แนวคิดของความสามารถในการลงเล่นในสนามแข่งขัน  ภายใต้สถานะการณ์ที่หนักหน่วงใน
เวลาการแข่งขัน 90 นาที  รองเท้าฟุตบอลตระกูลนี้เคยผ่านมือผ่านเท้านักฟุตบอลระดับโลก
มากมาย  อาทิ  โรแบโต้ คาร์ลอส ,  หลุยส์ ฟิโก้ และฟรานเชสโก้ ต็อตติ เป็นต้น  แต่ใน
ช่วง 2 - 3 ปีหลังมานี้  หากจะนึกถึงภาพลักษณ์ของรองเท้าฟุตบอลตระกูลนี้  เชื่อว่าหลายคน
คงจะต้องนึกถึงภาพของ เวนย์  รูนีย์  และ เฟอร์นันโด  ตอร์เรส  และในเจเนอเรชั่นใหม่
ที่มีชื่อเต็มๆ ว่า "T90 Laser IV" ซึ่งถูกเปิดตัวและวางจำหน่ายพร้อมกันทั่วโลกในวันที่
1 ตุลาคม 2011 ก็เช่นกัน  โดยเฉพาะตำแหน่งพรีเซนเตอร์ตัวหลักยังตกเป็นของ เวนย์  รูนีย์
เท่านั้นยังไม่พอ  ไนกี้ยังได้สร้างกระแสความร้อนแรงด้วยการดึงพรีเซนเตอร์ระดับพระกาฬ
มาร่วมวง "The Perfect Strike" อีกมากมาย  ไม่ว่าจะเป็น  อเล็กซานโดร ปาโต้  ,
กอนซาโล อิกวาอิน  และ  มารูยาน  ชามัค
เป็นต้น  ทั้งหมดนี้จึงเป็นการสร้างความ
สนใจให้กับบรรดานักฟุตบอลทั่วโลกที่เฝ้ารอคอยและร่วมสัมผัสกับหนึ่งในไฮไลท์หลักแห่งปี
2011 ของวงการรองเท้าฟุตบอล  และตอนนี้..."T90 Laser IV - The Perfect Strike" ที่ได้
มาจากบริษัท ไนกี้ (ประเทศไทย) จำกัด ก็ได้มาวางอยู่บนมือผมแล้ว  จึงได้เวลาที่ทุกท่าน
จะมาทำความรู้จักกับรองเท้ารุ่นใหม่คู่นี้อย่างเป็นทางการกันหน่อยดีกว่า

   
   ทั้งหมดที่เห็นนี้คือสิ่งที่เราจะได้จากการซื้อ T90 Laser IV จากช็อปฯ หรือตัวแทนจำหน่าย
อย่างเป็นทางการจากไนกี้  ได้แก่ รองเท้าฟุตบอลรุ่น T90 Laser IV  ข้างซ้ายและข้างขวา
อย่างละ 1 ข้าง  มาพร้อมถุงเป้สะพายสำหรับใส่รองเท้าพันธุ์ดุทั้ง 2 ข้าง  จริงๆ แล้วจะยังมี
กล่องใส่รองเท้าสีส้มตามแบบฉบับของไนกี้อย่างที่เราๆ คุ้นหน้าคุ้นตากันดี  แต่สิ่งที่จะแปลก
ออกไปเมื่อเทียบกับอุปกรณ์ต่างๆ ที่เราจะได้จากการซื้อรองเท้าฟุตบอลรุ่นท็อปของไนกี้
ในช่วง 2 ปีหลังมานี้  ก็คือจะไม่มีการ์ดสำหรับกิจกรรมไนกี้ ฟุตบอลพลัส และที่ฝากล่อง
จะไม่มีป้ายข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีและลูกเล่นสำคัญของรองเท้ารุ่นนี้เลย

   
   ถุงเป้สะพายในธีมของ T90 Laser IV ได้ถูกออกแบบตามลวดลายที่เห็นในภาพ  โดย
ทั้งสองด้านจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป  โดยเฉดสีของเป้สะพายจะขึ้นอยู่กับเฉดสี
ของตัวรองเท้าที่ท่านเลือกซื้ออีกด้วย  ลักษณะของเนื้อผ้าในครั้งนี้  จะเหมือนกันกับเนื้อผ้า
ของเป้สะพายในซีรี่ย์ Mercurial (IV)  เนื้อผ้าจะบางๆ  และสามารถมองทะลุเห็นด้านในได้
อย่างชัดเจน  จึงมั่นใจได้ว่าถ้าเราจะเอาเจ้า T90 Laser IV พร้อมกับสะพายหลังเดินทาง
ไปเตะฟุตบอล  ก็จะย่อมมีคนเหลียวหลังมองคุณอย่างแน่นอน  ทั้งนี้ในถุงเป้สะพายจะยัง
มีช่องซิปสำหรับใส่ของเล็กๆ น้อยๆ มาให้อีกด้วย   

   
   เมื่อได้ลองหยิบ T90 Laser IV ขึ้นมาลองกะน้ำหนักรองเท้าตัวมือ  บอกได้เลยว่ารองเท้า
รุ่นนี้มีน้ำหนักเบากว่าเจเนอเรชั่นเดิม T90 Laser III อย่างชัดเจน  และเมื่อลองประมาณ
น้ำหนักคร่าวๆ  ก็น่าจะมีน้ำหนักตัวพอๆ กันกับ Tiempo Air Legend IV  ดังนั้นพิกัดตัวเลข
ของน้ำหนักน่าจะอยู่ที่ประมาณ 270 - 280 กรัม เท่านั้น
      
  
   ก่อนอื่นมาโฟกัสกันที่ลูกเล่นหลักของรองเท้าฟุตบอลรุ่นนี้กันก่อน  แน่นอนว่านั่นคือ
แถบยางปั่นโค้ง "Adaptive Shield" ที่ได้ถูกออกแบบเลย์เอาท์ตำแหน่งการจัดวาง
ใหม่ทั้งหมด  มีการแยกส่วนสำหรับดอกยางปั่้นโค้ง "Swerve Fins" ให้ลงไปอยู่บริเวณ
ข้างเท้าด้านหน้า  ในขณะที่ "Shoot Shield" ซึ่งเป็นพื้นยางในการเพิ่มพละกำลังให้กับ
ลูกยิง  ก็ได้ถูกขยับให้สูงขึ้นมาบนตำแหน่งสันเท้า

   
   ดอกยางปั่นโค้ง  "Swerve Fins" นอกจากจะเปลี่ยนตำแหน่งในลงมาอยู่ที่บริเวณข้าง
เท้านด้านหน้า  เพื่อประสิทธิภาพในการเปิดบอลไซด์โค้ง  ที่ตามปกติแล้วคนเราจะนิยม
เปิดไซด์โค้งด้วยการเตะตรงบริเวณนี้    ทีมนักออกแบบยังเพิ่มความถี่และลดขนาดของ
ดอกยางปั่นโค้งอีกด้วย  ทำให้ผิวสัมผัสของดอกยางมีความนุ่มขึ้นกว่าเดิม  จึงสามารถ
ทำให้ลูกฟุตบอลปั่นโค้งได้ดั่งที่ใจต้องการนั่นเอง  เท่านั้นยังไม่พอ..ด้วยพื้นผิวดอกยาง
ที่มีสัมผัสที่นุ่ม  จะยังมีประโยชน์ในการสัมผัสบอลแรกให้อยู่นิ่งติดกับเท้าได้อย่างง่ายดาย
อีกด้วย

   
   "Shoot Shield" อุปกรณ์ที่จะช่วยเพิ่มพละกำลังให้กับลูกยิงที่ออกไปจาก(สัน)เท้า
พื้นที่ตรงนี้ได้ถูกออกแบบให้มีความเรียบเป็นบริวาณกว้างกว่าเดิม  เนื้อยางหนักแน่น
การออกแบบดีไซน์มุมองศาให้สอดรับการลักษณะของลูกฟุตบอล  เพื่อประสิทธิภาพ
ในการถ่ายเทแรงในทุกๆ องศาการสัมผัส  ทั้งยังมีการออกแบบพื้นผิวสัมผัสให้มีความ
ขรุขระเพื่อสร้างแรงเสียดทานเพื่อการควบคุมทิศทางที่แม่นยำ   รวมถึงร่องระหว่าง
พื้นยางจะยังช่วยให้สามารถปั่นโค้งลูกยิงได้อีกด้วย !!
   
   
   ลองมาชม T90 Laser IV จากด้านหน้า  จะเห็นว่ารูปทรงของรองเท้าคู่นี้ค่อนข้างจะ
มีความโค้งมน  หน้าผ้าที่ทำจากหนังสังเคราะห์เทจิน (Tejin microfiber) มีพื้นผิว
ที่เรียบสนิท  ทำให้ตัวรองเท้าคู่นี้ดูลู่ลมมากกว่าเจเนอเรชั่นที่แล้ว  บนหน้าผ้าจะมีการ
พิมพ์ลวดลายเส้นสาย  พร้อมเคลือบสารให้ผิวหน้ามีความเงางาม  และให้ดึงดูดกับ
ผิวของลูกฟุตบอลได้ดีขึ้น  ในขณะที่แนวร้อยเชือกยังคงมีการออกแบบให้โค้งเอียง
ออกไปทางด้านนอก  เพื่อเพิ่มพื้นที่สัมผัสบริเวณข้างเท้าด้านใน

  
   แนวด้ายเย็บเพียงหนึ่งเดียวบนตัวรองเท้าคือที่ตำแหน่งข้างเท้าด้านนอก  เนื่องจาก
ไนกี้ได้ออกแบบ T90 Laser IV ให้มีความกระชับมากขึ้น  เพื่อความมั่นใจอย่างเต็มที่
ในจากใช้งานสังหารประตูทีมคู่แข่งอย่างสมบูรณ์แบบ  ทั้งยังเกิดพื้นที่ในการสัมผัส
กับลูกฟุตบอลด้วยข้างเท้าด้านนอกอีกด้วย

   
   หุ้มส้นด้านในของ T90 Laser IV เวอร์ชั่นหนังสังเคราะห์เทจิน  จะไม่เป็นหุ้มส้น
กำมะหยี่  แต่จะยังใช้แบบหนังสังเคราะห์  บนผิวหน้ามีลวดลายเพื่อให้เกิดแรงเสียดทาน
ลักษณะของหุ้มส้นมีความหนานุ่มมาก  เชื่อได้เลยว่าจะไม่มีปัญหาการถูกรองเท้ารุ่นนี้กัด
คอยรบกวนอย่างแน่นอน

   
   ยอมรับเลยครับว่าอีกหนึ่งจุดแข็งของ T90 Laser IV ก็คือชุดแผ่นรองพื้นที่ผลิตจาก
วัสดุประเภท EVA foam พร้อมเสริมวัสดุ Poron แบบเต็มแผ่น ไว้ทีด้านพื้นด้านล่าง
เพื่อทำหน้าที่รองรับและกระจายแรงกระแทกจากพื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ในขณะที่
ผิวหน้าของแผ่นรองพื้นยังมีการทำลวดลายพื้นผิวขรุขระอย่างเต็มพื้นที่  เรียกได้ว่า
ไม่ต้องกลัวปัญหาการลื่นไถลภายในรองเท้า ซึ่งปกติจะเกินขึ้นเมื่อเท้าของผู้สวมใส่นั้น
เปียกแฉะการเหงื่อกันเลย

   
   มาปิดท้ายกันที่ชุดพื้นช่วงล่างและปุ่มรองเท้าแบบ FG  ที่ได้รับการออกแบบใหม่
รวมถึงแนววางปุ่มแบบ FG ซึ่งดูเหมือนว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกับแนววางปุ่มของ T90
เจเนอเรชั่นเก่าๆ  เริ่มจากชุดเพลทและฐานปุ่มที่มีความบางขึ้นกว่าเดิม  ผลิตจากเป็นวัสดุ
TPU ซึ่งเป็นพลาสติกใส  ฉีดขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกันทั้งหมดเพื่อความคงทนแข็งแรง  ทั้งนี้
ไนกี้ยังได้ออกแบบให้มีการฝังโครงสร้างรูปตัว "X" ลงไปในชุดพื้น  เชื่อมต่อระหว่าง
ชุดปุ่มส่วนหน้ากับชุดปุ่มส่วนหลัง  ให้ชุดพื้นมีความคงทนแข็งแรงมากขึ้นกว่าเดิม   และ
การที่สามารถยึดโครงสร้างของชุดปุ่มทั้งหมดให้เป็นชิ้นเดียวกันเช่นนี้ได้  ก็จะมีประโยชน์
ในการกระจายแรงกระแทก  ถึงแม้จะไม่นุ่มนวลเท่ากับชุดพื้นแยกส่วน  แต่ช่วงล่างแบบนี้
ก็ช่วยสร้างความแม่นยำในการเคลื่อนที่ได้เป็นอย่างดี

   
   
   ในส่วนของปุ่มแบบ FG ที่เคยเป็นปัญหาของ 2 เจเนอเรชั่นที่แล้วมาก่อนนั้น  ไนกี้
ก็ได้แก้ไขจุดนี้ด้วยการออกแบบปุ่มใหม่ทั้งหมด  ปุ่มแต่ละปุ่มจะมีฐานปุ่มที่หนาและ
กว้าง  ถูกฉีดขึ้นรูปเป็นชื้นเดียวกับชุดพื้น  ในขณะที่ปุ่มส่วนบนจะไม่ใช่เพียงแค่การ
ยึดติดอยู่บนฐานปุ่มเท่านั้น  แต่ยังมีการฉีดแกนกลางของปุ่มให้ลึกเข้าไปในฐานปุ่ม
จึงมั่นใจได้ถึงความทนทาน  ในขณะที่พื้นผิวของหน้าปุ่มยังได้ถูกออกแบบให้มีรอย
ขรุขระอีกด้วย  และอีกสิ่งหนึ่งที่สังเกตได้อย่างชัดเจนก็คือที่บริเวณด้านหัวและท้าย
ของชุดพื้น  จะมีการออกแบบให้มีแง่งเพิ่มขึ้นมา  สิ่งเหล่านี้เราพบเจอกันมาแล้วใน
รองเท้าฟุตบอลของไนกี้รุ่นใหม่ๆ   เริ่มจาก Mercurial VI , VII และไล่มาจนถึง
Tiempo IV
  ล่าสุดก็ได้มาอยู่ในชุดพื้นของ T90 Laser IV ในลักษณะการออกแบบ
ที่แตกต่างกันออกไป  แต่ทั้งหมดนี้ก็มีชุดประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะ
กับพื้นสนาม  ทั้งในการออกตัววิ่งและการยันพื้นยิงประตูแบบเต็มข้อ  เรียกได้ว่า
ลูกเล่นตรงนี้คงจะเป็นธรรมเนียมของรองเท้าฟุตบองจากไนกี้ไปเสียแล้ว

   
   ในบทความนี้ผมคงจะขอพา "The Perfect Strike" ไนกี้ T90 Laser IV ที่ได้รับ
การสนับสนุนมาจาก บริษัท ไนกี้ (ประเทศไทย) จำกัด มา "เปิดกล่อง" แนะนำตัว
กันเพียงเท่านี้ก่อน  แต่แน่นอนว่าจะต้องมีรีวิวทดสอบการใช้งานรองเท้าฟุตบอลรุ่น
ใหม่ป้ายแดงจากไนกี้รุ่นนี้แน่นอน  คาดว่าจะขอเวลาเต็มๆ สัก 2 - 3 สัปดาห์หลัง
จากนี้  เพื่อพาตัวไปลงสนามใช้งาน  วิเคราะห์หาข้อดีข้อด้อยตามสไตล์สยามบูทที่ 
ทุกท่านคุ้นเคยกัน  จะได้เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการข้อมูลในการตัดสินใจหาอาวุธ
ลงสนามฟุตบอลที่สมบูรณ์แบบที่สุดสักคู่ในการลงสังหารประตูทีมคู่แข่ง

    สำหรับท่านใดที่มีความต้องการจับจองเป็นเจ้าของ "The Perfect Strike"
ไนกี้ T90 Laser IV ซึ่งมีราคาค่าตัวอยู่ที่ 7,200 บาท ก่อนใคร
 สามารถซื้อได้แล้ว
ที่ร้านไนกี้ ชั้น 1 สยามเซ็นเตอร์, ไนกี้ คอร์เนอร์ ชั้น 3 สยาม พารากอน, ชั้น 3
ซูเปอร์สปอร์ต เซ็นทรัลเวิลด์ , ชั้น 3 ซูเปอร์สปอร์ต เซ็นทรัล ชิดลม,  เอฟ.บี.ที.
สปอร์ตคอมเพล็กซ์ และร้านนกแก้ว  สามารถติดตามข้อมูลนวัตกรรมรองเท้า
ฟุตบอลของไนกี้ และไนกี้ ฟุตบอลพลัส ได้ที่เว็บไซต์ nikefootball.in.th หรือ
facebook.com/nikefootballth
  

"Hand On!" adiPOWER Predator UCL 2011/2012


  
   แล้วก็ถึงเวลาที่อาดิดาส (ประเทศไทย) นำ "adiPOWER Predator®" เจเนอเรชั่นที่ 11
ของรองเท้าฟุตบอลตระกูลระดับตำนานเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว
โดยมีเฉดสีต่างๆ นานามากมายให้เลือกจับจองเป็นเจ้าของตามความชื่นชอบของแต่ละคน
หนึ่งในนั้นก็คือสี "ขาว-ม่วง" เวอร์ชั่นพิเศษของศึก "ยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีกส์ (UCL)
2011/2012"
ที่ทางอาดิดาสได้พามาแนะนำให้เพื่อนๆ ชาว SiamBoots ได้ทำความรู้จัก
  
   
   ธีมของยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีกส์ (UCL) ประจำฤดูกาล 2011/2012 ในช่วงแรกที่เพิ่ง
เปิดฤดูกาลจะมาในแบบหลายหลากเฉดสี  โดยเฉพาะเฉดสีม่วง น้ำเงินและเขียว  ซึ่งถือ
เป็นเฉดสีที่โดดเด่นเป็นอย่างมากที่เราๆ ท่านๆ   น่าจะได้เห็นกันทุกคนแล้วบนลวดลาย
ของลูกฟุตบอลประจำการแข่งขันที่อาดิดาสนั้นเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เอง 

   
   อาดิดาสจึงได้ออกแบบ "adiPOWER Predator®" เวอร์ชั่น UCL 2011/2012 ให้เข้ากับธีม
การแข่งขันโดยได้เลือก "สีม่วง" มาใช้แต่งแต้มเป็นส่วนหนึ่งของรองเท้า  และที่บริเวณส้น
จะมีแถบสีมากมายซึ่งแสดงถึงธีมของ UCL 2011/2012 นั่นเอง

      เอาล่ะ !! มาขอเริ่มการแนะนำตัว adiPOWER Predator® UCL 2011/12 อย่างเป็นทางการ
เลยแล้วกันนะครับ  เริ่มกันตั้งแต่เปิดกล่อง สำรวจทุกมุมตั้งแต่หัวจรดท้าย  บรรยายรายละเอียด
คร่าวๆ  ก่อนที่ผมจะนำเสนอการรีวิวทดสอบการใช้งานจริง วิเคราะห์วิจารณ์ข้อดีข้อเสียอีกครั้ง
ในภายหลังแน่นอน 

   
   ก่อนอื่นทำการเปิดกล่องสีดำของอาดิดาสแบบที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี  ซึ่งกล่องนี้ผมได้มาอย่าง
เป็นทางการจาก อาดิดาส (ประเทศไทย) ดังนั้นสิ่งต่างๆ ที่บรรจุมาในกล่องสีดำใบนี้  ก็จะ
เป็นแบบเดียวกับที่ท่านทั้งหลายจะพบเจอ  เมื่อซื้อ adiPOWER Predator® จากผู้จัดจำหน่าย
อย่างเป็นทางการ

   ในกล่องจะประกอบไปด้วย แผ่นป้ายกระดาษแสดงคำแนะนำทั้งหมด 4 ภาษา  รองเท้าฟุตบอล
อาดิดาสรุ่น adiPOWER Predator UCL 2011/12 ในเฉดสี "ขาว-ม่วง" รองตะแคงสลับกลับหัว
กันอยู่  หลักๆ ก็มีเพียงเท่านี้นะครับ  ไม่มีแผ่นป้ายแนะนำเทคโนโลยีอะไรเป็นพิเศษ  และน่าเสียดาย
ที่ในเจเนอเรชั่นนี้  อาดิดาสไม่ได้ให้ "กระเป๋า" ในธีมของ Predator® มาเหมือนกับเจเนอเรชั่น
ก่อน  เพราะใครต่อใครก็รู้กันดีว่าตอนเอารองเท้าใส่กระเป๋าแล้วสะพายเดินทางไปเตะฟุตบอลนั้น
มันเท่มากแค่ไหน

   
   
   เพียงแค่ได้ลองหยิบขึ้นมาก็รู้สึกถึงความเบาของ adiPOWER Predator® ได้ทันที  เพราะ
รองเท้าฟุตบอลรุ่นนี้มีน้ำหนัก ตัวเพียง 222.0 กรัม  เท่านั้น  ถือได้ว่าเป็นการพลิกประวัติศาสตร์
ของรองเท้าฟุตบอลตระกูลนี้เลย  เพราะนี่คือ Predator® ที่มีน้ำหนักเบามากที่สุดเท่าที่อาดิดาส
เคยผลิตออกมาจำหน่าย (ไม่นับรวมรุ่น adiPOWER Predator® SL)  แม้น้ำหนักตัวจะเบา
แต่เท่าที่สัมผัสบริเวณหน้าผ้าและลำตัวของรองเท้าคู่นี้  สามารถรู้สึกได้เลยว่ารองเท้าที่อยู่ในมือ
ของผมคู่นี้เบาแต่ไม่บอบบางอย่างที่หลายๆ คนเคยตั้งคำถามเอาไว้

   adiPOWER Predator® UCL 2011/12 คู่นี้มีหน้าผ้าเป็นหนังลูกวัวกระทิง (Calfskin leather)
มีแนวด้ายเย็บในแนวขวาง  แนวด้ายเย็บเป็นระเบียบในแนวขวาง  ช่วยเสริมให้หน้าผ้ามีความ
ทนทาน  การที่อาดิดาสออกแบบลักษณะการเย็บให้เป็นลอนๆ ขึ้นมาแบบนี้จะช่วยเพิ่มความนุ่ม
ให้แก่หน้าผ้าและยังใช้เป็นพื้นที่ในการสัมผัสกับลูกฟุตบอลที่หนักแน่นได้อีกด้วย  ลักษณะของ
เฉดสีของหน้าผ้าและตัวรองเท้าจะเป็นสีขาวมุก  ดูแล้วสวยงามและหรูหราสมกับศักดิ์ศรีของ
ศึกฟุตบอลสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป  และจากภาพจะเห็นได้ว่าบริเวณหัวรองเท้านั้นมีการ
ออกแบบชิ้นของพลาสติกใสเพิ่มขึ้นมาปิดบริเวณรอยต่อระหว่างหัวรองเท้ากับชุดพื้น  เพื่อช่วย
ป้องกันปัญหา "หัวเปิด"ที่เกิดจากการเตะขุดติดให้หมดไป

   
   ในขณะที่แถบสามขีดซึ่งเป็นเครื่องหมายทางการค้าของอาดิดาส  จะเป็นเฉดสีม่วงอ่อนๆ
โดยจะถูกลากยาวไปรวมกับแนวร้อยเชือก  ซึ่งประกอบไปด้วยลิ้นและเชือกรองเท้าที่ติดตัว
รองเท้ามาตั้งแต่แรก  ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าตรงกลางและกรอบของแถบสามขีดนั้นจะมีเส้นสีเขียว
สะท้อนแสง
สร้างความโดดเด่นสวยงามให้กับรองเท้าคู่นี้ได้มากพอสมควรเลยทีเดียว   โดย
ทั้งหมดนี้เป็นรายละเอียดทางฝั่งข้างเท้าด้านนอก

   
   สำหรับทางฝั่งข้างเท้าด้านในจะสังเกตได้ว่าเส้นสีตรงกลางและกรอบของแถบสามขีดนั้นจะ
เป็นเส้นสีเหลือง ไม่ได้เกิดจากความผิดเพี้ยนของกล้องที่ถ่ายรูปแต่อย่างใด  เหตุผลที่เส้นสี
ทั้งสองด้านมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดก็เพราะเป็นพื้นที่ของ "Predator® Element"
หรือแถบยางปั่นโค้ง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีอันเลื่องชื่อที่มีในรองเท้าฟุตบอลตระกูลนี้เป็นอันดับ
แรกๆ  โดยอาดิดาสได้พัฒนาลูกเล่นดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพดียิ่งๆ ขึ้นในทุกๆ เจเนอเรชั่น
รวมถึงในเจเนอเรชั่นนี้ก็เช่นกัน  

   
   Predator® Element ของ adiPOWER Predator® จะมีลักษณะเป็นยางซิลิโคนสีขาวขุ่น
เพื่อไม่ให้เฉดสีของแถบยางส่งผลกระทบทำให้สีหลักของตัวรองเท้า(ด้านใน)ผิดเพี้ยนไปจากเดิม
มากนัก  โดย Predator® Element อยู่ตรงกลางของรองเท้าเชื่อมต่อกับฐานรองเท้าด้วยซีลิโคน
ยาง ที่ช่วยให้สามารถควบคุมลูกฟุตบอลได้ในทุกสภาพอากาศ การปรับปรุงประสิทธิภาพของ
Predator® ทำให้ adiPOWER Predator® เป็นรองเท้าสตั๊ดที่สมบูรณ์แบบที่สุดในตระกูล
Predator® เท่าที่เคยมีมา

  ไม่เพียงแค่เรื่องการพัฒนานวัติกรรมทางวัสดุเท่านั้น  เพราะอาดิดาสยังได้มีการออกแบบ
รายละเอียดและรูปร่างหน้าตาของ Predator® Element ใหม่ทั้งหมด มีการเพิ่มมิติความลึก
และเส้นสาย รวมถึงได้จัดสรรแบ่งพื้นที่ต่างๆ เพื่อใช้สัมผัสกับลูกฟุตบอลไว้อย่างชัดเจน
สัมผัสของแถบยางปั่นโค้งของรองเท้ารุ่นนี้ซึ่งเป็นรุ่นท็อปจะมีความนิ่มกว่ารุ่นรองท็อปฯ
แต่เมื่อลองเอาแถบยางปั่นโค้งของรองเท้าทั้งสองข้างมาประกบและถูไถไปมาเพื่อทดสอบ
ความเหนียว    พบว่าแถบยางปั่นโค้งจะไม่มีความเหนียวเหมือนกับการที่เอาผิวหน้าของ
รองเท้าหนังสังเคราะห์มาถูไถกัน  แต่นั่นก็ไม่ใช่คำตอบของประสิทธิภาพในการปั่นโค้ง
ของลูกฟุตบอลที่ถูกเตะไซร้ออกไปจาก Predator® Element  สุดท้ายและจะดีไม่ดียังไง
คงต้องรอคำตอบจากการรีวิวทดสอบการใช้งานจริงอีกครั้งหนึ่ง

   
   ถัดมาที่ด้านท้ายก่อนจะถึงตำแหน่งส้นของรองเท้า  บนพื้นที่สีม่วงซึ่งเป็นเฉดสีที่สองของ
adiPOWER Predator® UCL 2011/12 ได้มีการพิมพ์คำว่า "PREDATOR" ระบุถึงตระกูล
ของรองเท้าฟุตบอลคู่นี้เอาไว้ด้วย "สีเขียวสะท้อนแสง" โดดเด่นเพราะตัดกับพื้นสีม่วง
และมีกราฟฟิกเส้นสีเงินซึ่งเป็นธีมเฉพาะของเวอร์ชั่น UCL 2011/12 พริ้วไหวเต็มไปหมด

   
   ถัดมาเป็นชุดหุ้มส้นเท้าและเกราะป้องกันเอ็นร้อยหวายแบบภายนอก (External Heel
Counter)
ซึ่งนูนสูงออกมาจากตัวรองเท้า  วัสดุ TPU ที่ใช้ทำชุดพื้นมีความแข็งแรงใน
ระดับหนึ่ง  แม้จะดูบอบบางกว่าชุดเกราะป้องกันของ Predator® X  แต่ก็มีความแข็ง-
แกร่งกว่าชุดเกราะป้องกันของซีรี่ย์ adiZero ซึ่งเป็นต้นแบบของเทคโนโลยีชุดพื้นแบบ
Sprint Frame ที่ adiPOWER Predator® ได้หยิบยืมมาดัดแปลงใช้งาน  สำหรับราชา
นักล่าเจเนอเรชั่นที่ 11 ในเวอร์ชั่น UCL 2011/12 คู่นี้  จะมีลวดลายแถบสีหลากหลาย
เฉดสี ที่ตำแหน่งส้นเท้า  ซึ่งเป็นธีมของการแข่งขันฟุตบอลยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีกส์ ใน
ฤดูกาล 2011/12 ตามที่ได้เรียนให้ทุกท่านทราบกันไปแล้วในตอนต้น

   
   มาพลิกเอาชุดพื้นและปุ่มของ adiPOWER Predator® UCL 2011/12 มาสำรวจกันดู
สักหน่อย  เป็นชุดพื้นแบบเดียวกับที่ใช้ในรองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์ adiZero  เหตุผลที่มันถูก
ยกเอามาใช้ในรองเท้าฟุตบอลรุ่นนี้  เนื่องจากอาดิดาสต้องการลดน้ำหนักตัวลงไป
อย่างไรก็ตาม  ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและออกแบบรายละเอียดของชุดพื้นให้
เหมาะสมกับการเป็นรองเท้าฟุตบอลที่ได้ฉายาว่าเป็นราชานักล่า ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นรูป
ชุดพื้นเป็นสองชั้น  โดยชั้นนอกสุดจะเป็นพื้นที่สีขาวซึ่งทำหน้าที่เป็นฐานของปุ่ม
และชั้นในจะเป็นพื้นที่สีม่วงที่กินพื้นที่ออกมาเป็นกรอบนอกสุดของชุดพื้น  ตรงกลาง
ฝ่าเท้าเป็นตำแหน่งการฝังตัวของเทคโนโลยี "Power Spine" ที่เห็นเป็นสีเขียวสะท้อน
แสง  จะเป็นโครงสร้างแข็งที่คอยดันเท้าไม่ให้ดีดตัวกลับ  ในจังหวะที่ต้องเตะลูกฟุตบอล
ออกไปเต็มแรง  เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งแรงไปยังลูกฟุตบอลได้
อย่างเต็มกำลัง  ลักษณะของปลายปุ่มแบบ FG ยังคงใช้ลักษณะแนววางปุ่มแบบดั้งเดิม
ของ Predator®  สำหรับรุ่นนี้จะปุ่มจะมีปลายปุ่มสีม่วงตามธีมของ UCL 2011/12  และ
ตรงกลางฝ่าเท้าจะมีปุ่มทรงข้าวหลามตัดสีเขียวสะท้อนแสง  คอยทำหน้าที่กระจายแรง
เพื่อความสมดุลของการเคลื่อนที่

   
   หุ้มส้นที่ถูกออกแบบขึ้นใหม่  เพราะในเจเนอเรชั่นนี้อาดิดาสได้เปลี่ยนมาใช้วัสดุ
ประเภทผ้ากำมะหยี่มาทำเป็นหุ้มส้นด้านใน  ทำให้เวลาสวมใส่เท้าเข้าไปจึงรู้สึกถึง
ความสบาย  ไม่อึดอัด  และสามารถเลือกที่จะใส่รองเท้าให้กระชับเท้ามากขึ้นได้โดย
ไม่ต้องกลัวการถูกรองเท้ากัด  สำหรับหุ้มส้นและภายในของรองเท้าคู่นี้  จะเป็นสีม่วง
ทั้งหมดเลย


   
   แผ่นรองพื้นที่มีลวดลายและตราสัญลักษณ์เฉพาะ  บนผิวหน้าของแผ่นรองพื้น
ที่เป็นผิวหน้าประเภทผ้ากำมะหยี่ได้มีการออกแบบลวดลายพิเศษ ตรงบริเวณส้นเท้า
จะเป็นตราสัญลักษณ์ของศึก ยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีกส์ (UCL) ในเฉดสีเขียวสะท้อนแสง
ลงบนพื้นสีม่วง  ที่มีลวดลายเส้นสายสีเงินพริ้วไหว  โดยแผ่นรองพื้นในเวอร์ชั่นนี้จะไม่มี
การพิมพ์ลายตัวอักษรว่า Predator® เหมือนกับเวอร์ชั่นปกติ  ด้านใต้ของแผ่นรองพื้น
จะมีการเสริมวัสดุประเภทโฟม adiPrene ทำหน้าที่ช่วยผ่อนแรงกระแทกจากพื้นในการ
เคลื่อนที่นั่นเอง

   
   เป็นอย่างไรกันบ้างกับ adiPOWER Predator® UCL 2011/12 ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ
อาดิดาสเท่านั้นที่สามารถทำได้  ถึงแม้ว่าอาดิดาสจะปล่อย adiPOWER Predator®
ออกมามากมายหลายเฉดสีให้ได้เลือกซื้อหามาใช้ลงสนามล่าตาข่ายคู่แข่งกัน  แต่สำหรับ
เวอร์ชั่นพิเศษ UCL 2011/12  นั้นจะมีเพียงแค่ฤดูกาลละสองครั้งเท่านั้น  ที่สำคัญ...มีเพียง
แค่ซีรี่ย์ Predator® ที่มีการผลิตออกมาเป็นเวอร์ชั่นของศึกฟุตบอลสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ในยุโรป   บอกได้คำเดียวว่าพลาดแล้วจะเสียใจ  เพราะเวอร์ชั่นนี้ตัวจริงเสียงจริงมันช่าง
สุดแสนจะสวยและสง่างามเสียเหลือเกิน

   ทั้งนี้ท่านสามารถ สอบถามราคา adipower Predator® ได้แล้วที่ร้านอาดิดาส สปอร์ต
เพอร์ฟอร์มานซ์ คอนเซ็พท์ สโตร์ และที่ร้านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ

   
   สำหรับการรีวิวการทดสอบรองเท้าคู่นี้  ขอเชิญทุกท่านเตรียมมาติดตามหาคำตอบ
กันได้ในอีกประมาณ 2 สัปดาห์  เพราะผมจะขอใช้ช่วงเวลาดังกล่าวในการ "จัดหนัก"
หาข้อดีข้อเสียของ adiPOWER Predator® UCL 2011/12 มาวิเคราะห์วิจารณ์เพื่อทุกท่าน
จะได้รับประโยชน์ในการตัดสินใจหาอาวุธคู่กายคู่ใจในการลงสนาม  หวังว่าคงจะไม่
นานเกินรอใช่ไหมล่ะครับ ^^"
  

"Hand On!" CTR 360 Maestri II "Loyal Blue"


มาอย่างต่อเนื่องทีเดียว  สำหรับเซ็ตรองเท้าฟุตบอลจากไนกี้  ต้อนรับซีซั่นของปี 2012

   รองเท้าฟุตบอลสายพันธุ์เก่งรอบด้าน ไนกี้ CTR 360 ในเจเนอเรชั่นที่ 2 ถือเป็นรองเท้าฟุตบอลที่ได้
รับความนิยมมากที่สุดตลอดปี 2011 ที่ผ่านมา  เรียกได้ว่ากระแสตอบรับจากผู้ใช้งานร้อนแรงตั้งแต่ช่วงที่
เปิดตัวตอนต้นปี 2011  ต่อเนื่องยาวจนข้ามปีมาถึงปี 2012  ที่ไนกี้เปิดตัวคอลเลคชั่นแรกของปีนี้ด้วย
เฉดสีใหม่ล่าสุด  ที่มีรหัสสีอย่างเป็นทางการว่า " Loyal Blue/White/Bright Blue/Total Orange" หรือ
ขอเรียกสั้นๆ ว่า "รอยัล บลู" ถือเป็นเฉดสีแรกของ CTR 360 II ที่มาในลักษณะ "สีล้วน"  หลังจากที่
ก่อนหน้านี้  เฉดสีทั้งหมดที่ไนกี้ผลิตออกมาจำหน่ายจะเป็นเฉดสีทูโทนมาโดยตลอด

   ก่อนที่เราจะไปยลโฉมรองเท้าฟุตบอลคู่นี้  ผมต้องขอขอบพระคุณบริษัท ไนกี้ (ประเทศไทย) จำกัด
ที่ใจดีสนับสนุน CTR 360 Maestri II "รอยัล บลู" มาให้ SiamBoots ได้นำเสนอให้ทุกท่านได้ชมกัน
สำหรับเฉดสี "รอยัล บลู" ถือเป็นเฉดสีที่ 8 อย่างเป็นทางการของเจเนอเรชั่นนี้  และเป็นเฉดสีที่ 2 ที่จะ
ไม่มีการผลิตรองเท้าระดับสุดยอดอย่างรุ่น Elite ออกมาจำหน่าย

รองเท้าฟุตบอลรุ่นไนกี้ CTR 360 Maestri II ยังคงมาในกล่องรองเท้าสีส้มสุดแสบตา  ถือเป็นเอกลักษณ์
ของผลิตภัณฑ์จากไนกี้ไปแล้ว  และเมื่อเปิดฝากล่องขึ้นมา  จะพบกับรองเท้าฟุตบอลเก่งรอบด้านในเฉดสี
น้ำเงิน "รอยัล บลู" สุดงดงามนอนตะแคงรออยู่ในกล่อง  ที่มาพร้อมกับป้ายราคา 6,500 บาท และป้าย
Kanga-Lite ซึ่งระบุข้อมูลถึงหนังสังเคราะห์แบบพิเศษของไนกี้ที่ใช้กับรองเท้าฟุตบอลคู่นี้  และที่ใต้ฝากล่อง
จะมีการแผ่นข้อมูลที่ระบุถึงเทคโนโลยีที่โดดเด่นของรองเท้าฟุตบอลรุ่นนี้เอาไว้อย่างชัดเจน  สามารถเลือก
อ่านได้ถึง 3 ภาษาตามความถนัดของแต่ละท่านกันเลย   

และแน่นอนว่ารองเท้าฟุตบอลระดับท็อปของไนกี้ทุกรุ่นทุกซีรี่ย์  จะต้องมีถุงเป้สำหรับใส่รองเท้าที่มีดีไซน์
และเฉดสีเฉพาะตัว  เพื่อให้เข้ากับรองเท้าฟุตบอลที่ท่านเลือกซื้อมาใช้  และ CTR 360 Maestri II "รอยัล
บลู"
คู่นี้ก็เช่นกัน  ที่ท่านจะได้ถุงเป้ใส่รองเท้าในเฉดสีน้ำเงินเข้ม-ม่วง  โดยที่ตรงกลางของถุงเป้นั้น
จะมีการสกรีนว่า "CTR 360" และ "Nike Football" คนละด้านกันด้วยสีส้มสุดโดดเด่น  และด้านในของ
กระเป๋าจะมีช่องซิปสำหรับให้ใส่ของเล็กๆ น้อยๆ ได้อีกด้วย
แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วลักษณะเฉดสีของเจ้า CTR 360 Maestri II "รอยัล บลู" จะมีการลงเฉดสี
แบบทูโทน  โดยส่วนหน้านั้นจะออกเป็นสีน้ำเงิน-ม่วง  และด้านหลังจะเป็นสีน้ำเงินเมทัลลิค  แต่ด้วยความ
กลมกลืนและลงตัวของเฉดสีทั้งสองก็พอจะอนุโลมให้มองออกเป็นการใช้สีแบบสีล้วนสีเดียวทั้งคู่  โดยที่
เฉดสีหลักของตัวรองเท้านั้นจะไม่ใช่เฉดสีที่ช่วยสร้างโดดเด่น  เพราะเมื่อเทียบกับตราสัญลักษณ์ของไนกี้
ขนาดเล็ก "สีส้มสะท้อนแสง" ที่อยู่บริเวณหัวรองเท้า  ซึ่งตัดกับสีน้ำเงิน-ม่วง สีหลักของตัวรองเท้า  จึง
ทำให้เกิดความโดดเด่นบาดตาเสียเหลือเกิน    ถือเป็นจุดที่ช่วยสร้างความโดดเด่นให้กับรองเท้าฟุตบอล
คู่นี้ในยามที่อยู่ในสนามฟุตบอลได้เป็นอย่างดี   ในขณะที่ตราสัญลักษณ์ไนกี้บริเวณข้างเท้าด้านนอกนั้น
จะเป็นตราขนาดใหญ่สีขาว  มีลักษณะเป็นวัสดุจำพวกยาง  มีการเคลือบผิวให้เงางามและโดดเด่น 

วัสดุหนังสังเคราะห์ที่มีชื่อเรียกว่า "แคงกาไลท์" (Kanga-Lite Leahter)  เอกสิทธิ์เฉพาะของไนกี้ 
ถูกนำมาใช้ผลิตเป็นหน้าผ้าและตัวรองเท้าทั้งหมดให้กับรองเท้าฟุตบอลคู่นี้  ผิวหน้าของหนังจะมีลวดลาย
เฉพาะตัว  สรรพคุณของหนังสังเคราะห์แคงกาไลท์ก็คือ  เป็นสังเคราะห์ที่มีความหนานุ่ม  และทนทาน
เทียบเท่ากับหนังสัตว์แท้  (หนังจิงโจ้)  แต่มีความได้เปรียบในเรื่องของความกระชับที่ดีกว่า  ที่สำคัญ
ยังสามารถออกแบบเฉดสีได้ง่ายกว่าอีกด้วย  จึงไม่แปลกที่เราได้เห็น CTR 360 Maestri II ในเฉดสี
"รอยัล บลู" เช่นนี้  และไม่จำเป็นต้องใช้แนวด้ายเย็บบนหน้าผ้ามากมายเหมือนกับพวกรองเท้าหนังแท้
หากลองสัมผัสหน้าผ้าและตัวรองเท้า   จะสามารถรู้สึกได้ถูกความหนาและหนักแน่นของรองเท้าคู่นี้ได้
อย่างชัดเจน

  อุปกรณ์ลูกเล่นชิ้นแรกที่จะขอนำเสนอ  มีชื่อเรียกว่า "Damping Pads" เป็นพื้นที่รูปร่างสามเหลี่ยม
สองตอน  มีพื้นผิวที่นูนขึ้นมาจากตัวรองเท้า  มีลักษณะแข็งกว่าหน้าผ้าส่วนอื่นๆ  และที่มีผิวหน้าเป็น
ลวดลายสามเหลี่ยม   ทำหน้าที่ในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสัมผัสกับลูกฟุตบอล  โดยเฉพาะ
การส่งบอลด้วยข้างเท้าด้านนอก  ความแข็งของอุปกรณ์ชิ้นนี้จะช่วยส่งผ่านแรง   ให้ลูกฟุตบอลนั้น
ถูกส่งออกไปยังเพื่อนร่วมทีมของคุณได้อย่างมีน้ำหนักและแม่นยำมากขึ้นดั่งที่ใจต้องการ

   ลักษณะของแนวร้อยเชือกรองเท้าที่เป็นแบบเบ้เข้า  ได้รับการออกแบบให้แนวร้อยเชือกรองเท้า
นั้นช่วยเพิ่มพื้นที่ในการสัมผัสบอลของข้างเท้าด้านใน  ซึ่งเป็นแนวคิวหลักของรองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์
นี้มาตั้งแต่แรกเริ่ม  เชือกรองเท้าแบบมาตรฐานที่ติดตัวมาจากสายการผลิต  จะเป็นเชือกรองเท้าสี
น้ำเงิน  ซึ่งหากสังเกตดีๆ จะพบเป็นมีโทนสีอยู่ตรงกึ่งกล่างระหว่างโทนสีน้ำเงิน-ม่วง  และสีน้ำเงิน
ของพื้นที่ส่วนหน้าและส่วนหลังของรองเท้าตามลำดับ
  
   อุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ถือเป็นจุดขายอันดับต้นๆ ของรองเท้าฟุตบอลคู่นี้  ก็คือแถบยางที่มีชื่อเรียกว่า
"แถบยางรับบอล" (Receive Pad) เป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการสัมผัสกับลูกฟุตบอล
ใช้งานได้ทั้งการรับบอลที่ถูกส่งมาด้วยความแรง  ให้นิ่งและติดกับเท้าของเรา  ทำให้ง่ายต่อการควบคุม
และเล่นในจังหวะถัดไป  รวมถึงการควบคุมทิศทางของลูกฟุตบอลที่ถูกส่งออกไปจากเท้าของเรา  ให้มี
น้ำหนักและง่ายต่อการควบคุม  ที่สำคัญในรุ่นท็อปจะมี "ซี่ฟันยาง"  (Swerve Pins) ในแนวด้านบน
อีกด้วย  เพื่อประโยชน์ในการสัมผัสและปั่นโค้งให้กับลูกฟุตบอลนั่นเอง  สำหรับ "แถบยางรับบอล"
(Receive Pad)
ที่ท่านเห็นในภาพนั้น จะเป็นแถบยางบริเวณด้านหน้า  มีพื้นที่ขนาดใหญ่ให้สามารถใช้
งานได้ง่าย  ที่สำคัญ...ไนกี้ CTR 360 Maestri II "รอยัล บลู" คู่นี้  เป็นเฉดสีแรกที่มีแถบยางรับบอล
เป็นเฉดสีที่เข้ากันกับเฉดสีหลักของตัวรองเท้า  เพราะเฉดสีทั้งหมดก่อนหน้านี้จะมีแถบยางรับบอล
เป็นสีดำเพียงอย่างเดียว  ซึ่งบางทีก็ดูสวยงามเข้ากันกับองค์ประกอบสีของรองเท้า  แต่บางครั้งก็ไม่เข้าจนถึงขั้นออกแนวไม่สวยเลยเสียด้วยซ้ำ...

  อุปกรณ์แถบยางอีกอันหนึ่งที่ถัดมาทางด้านหลังนั้นมีชื่อเรียกว่า "แถบยางส่งบอล" (Instep Pad)
จุดประสงค์หลักของอุปกรณ์ชิ้นนี้คือจะช่วยทำให้ทิศทางขอลูกฟุตบอลที่ถูกแปรส่งออกไปจากเท้านั้น
มีความแม่นนำและมีน้ำหนักมากขึ้น  โดยเฉพาะผู้เล่นที่มีลักษณะการส่งบอลแบบ "กระทุ้ง" บอลด้วย
ข้างเท้าด้านในแบบเน้นๆ  จะได้รับประโยชน์ของลูกเล่นชิ้นนี้ไปเต็มๆ โดยวัสดุที่ใช้นั้นจะเป็นพื้นยาง
ที่มีหน้าตัดเรียบ  และมีความหนามากกว่าแถบยางรับบอลเล็กน้อย  โดยระหว่าง "แถบยางรับบอล"
กับ "แถบยางส่งบอล" จะมีโครงสร้างหน้ายางตามแนวยาวช่วยพยุงให้พื้นที่ข้างเท้าด้านในของ
รองเท้าคู่นี้มีความแข็งแรงและมีลักษณะแข็งตัว  เพื่อให้การใช้งานอุปกรณ์และเทคโนโลยีต่างๆ นั้น
เป็นไปได้อย่างแม่นยำและมั่นใจได้เป็นอย่างดี

แถบสีเงินตอนท้ายของรองเท้านั้นถูกออกแบบให้สามารถสะท้อนแสงได้  แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว
อาจจะไม่สามารถใช้ประโยชน์เกี่ยวกับการสัมผัสกับลูกฟุตบอลได้  แต่ก็มีโอกาสที่จะช่วยให้เพื่อนร่วมทีม
สามารถสังเกตเห็นคุณได้จากแถบสะท้อนแสงนี้ก่อนสิ่งอื่นใด  แน่นอนว่าโอกาสที่คุณจะได้รับการส่งบอล
จากเพื่อนร่วมทีมก็จะมีมากขึ้นนั่นเอง

   ในส่วนของเกราะกันกระแทกและป้องกันเอ็นร้อยหวายของ CTR 360 Maestri II จะเป็นเกราะป้องกัน
แบบภายใน (Internal Heel Counter) ออกแบบให้มีเข้ารูปและกลมกลืนกับส้นรองเท้า  และมีพื้นผิวที่ถูก
เจาะรูเพื่อช่วยในการระบายอากาศ  และจากรูปด้านบนจะเห็นได้ถึงความเงางามของเฉดสีน้ำเงินเมทัลลิค
ซึ่งเป็นเฉดสีส่วนหลังของไนกี้ CTR 360 Maestri II "รอยัล บลู" คู่นี้ได้อย่างชัดเจนเลยล่ะ


หุ้มส้นผิวหน้าแบบหนังกำมะหยี่ จะช่วยสร้างความกระชับกับข้อเท้าของผู้ส่วมใส่ได้เป็นอย่างดี
ที่สำคัญก็คือหุ้มส้นแบบนี้จะไม่กัดข้อเท้าของผู้ส่วมใส่อย่างแน่นอน  ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถหา
ได้จากรุ่นอื่นๆ  หุ้มส้นด้านในตลอดจึงถึงตัวรองเท้าบริเวณนี้  จะมีความหนาเป็นอย่างมากเทียบกับ
รองเท้ารุ่นอื่นๆ  มีข้อดีในเรื่องของการสร้างความกระชับและการป้องกันจากการปะทะ  สามารถล็อก
ข้อเท้าของผู้ส่วมใส่ได้อย่างแน่นหนา

   ในขณะที่แผ่นรองพื้นด้านในซึ่งผลิตจาก EVA foam ซึ่งเป็นวัสดุประเภทโฟมที่ช่วยในการรองรับ
แรงกระแทกจากการเคลื่อนที่ได้เป็นอย่างดี  โดยผิวหน้าของแผ่นรองพื้นจะมีการเคลือบผิวลักษณะ
เป็นผิวยาง  และมีลวดลายสามเหลี่ยมตามธีมของเจเนอเรชั่นนี้  ซึ่งมีพื้นผิวที่นูนขึ้นมาเพื่อสร้างแรง
เสียดทานให้ยึดเกาะกับเท้าของผู้เล่นได้ดี    ไม่ให้เกิดอาการลื่นไถลเพื่อเท้าของผู้ส่วมใส่เปียกเหงื่อ
โดยที่ด้านใต้ของแผ่นรองพื้นนี้  จะมีการเสริมวัสดุ Poron แบบแยก 2 ส่วน  คือส่วนส้นเท้าและฝ่าเท้า
นวัตกรรมทางวัสดุอันเลื่องชื่อของไนกี้ ที่สามารถช่วยรองรับและผ่อนแรงกระแทกจากการเคลื่อนที่
ได้เป็นอย่างดี  ทำให้ทุกการเคลื่อนที่นั้นมีความนุ่มนวลและแม่นยำ  ยิ่งสร้างความมั่นใจในการใช้งาน

 ชุดพื้นและปุ่มแบบ FG ที่มีลักษณะแนววางปุ่มเฉพาะตัวของรองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์นี้  โดยชุดพื้นจะเป็น
แบบชิ้นเดียวกันทั้งหมด  ผลิตจากพลาสติก TPU  มีความแข็งแรงทนทาน  ที่สำคัญคือจะมีการครอบชั้น
พลาสติกใสที่ผิวหน้าอีกชั้นหนึ่ง  ทำให้ดูหรูหราน่าสัมผัส  ปุ่มแบบ FG มีขนาดไม่ใหญ่มาก  ความยาวปุ่ม
กำลังพอดี  ฐานปุ่มอาจจะแคบไปหน่อย  แต่ด้วยจำนวนปุ่มที่มากถึง 16 ปุ่ม  กระจายตัวกันเต็มพื้นที่
จึงช่วยทำหน้าที่กระจายแรงได้เป็นอย่างดี  ทำให้ชุดพื้นและปุ่มของรองเท้ารุ่นนี้สามารถใช้งานได้อย่าง
สบายเท้า  โดยเฉพาะแนววางปุ่ม "วงกลม" ตรงกลางฝ่าเท้า  มีสรรพคุณช่วยให้การกระจายแรงเกิดขึ้น
ได้อย่างรอบด้าน  สามารถเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ปลายปุ่มทุกปุ่มของรองเท้า
คู่นี้จะมีการครอบด้วยพลาสติก TPU ใส อีกชั้นหนึ่งเพื่อความคงทนแข็งแรงและสวยงาม  ยกเว้นปุ่มคู่หลัง
ที่จะครอบชั้นด้วยพลาสติกสีส้มโดดเด่นกว่าปุ่มคู่อื่นๆ เป็นอย่างมาก  แต่สำหรับลวดลายกราฟฟิกด้านใต้
ชุดพื้นตรงบริเวณฝ่าเท้าของ CTR 360 Maestri II เฉดสี "รอยัล บลู" นั้นจะไม่โดดเด่นมากนัก  เพราะ
โทนสีค่อนข้างกลมกลืนกัน  แต่ลวดลายตรงส้นเท้านั้นจะโดดเด่นกว่ามาก   เพราะถูกลงสีด้วยสีส้มซึ่งตัด
กับสีน้ำเงิน-ม่วงซึ่งเป็นสีพื้นอย่างชัดเจน
  
แม้ว่าเมื่อตอนที่รองเท้าสายพันธุ์เก่งรอบด้านจากไนกี้ CTR 360 Maestri II ถูกเปิดตัวไปตอนต้นปี 2011
ผมจะเคยได้ทำรีวิวทดสอบการใช้งานรองเท้าฟุตบอลรุ่นนี้ไปเรียบร้อยแล้ว  แต่ถ้าถามว่า...แล้วครั้งนี้จะมี
รีวิวการทดสอบการใช้งาน CTR 360 Maestri II "รอยัล บลู" อีกหรือเปล่า !?!?  "มีครับ" แม้ในภาพรวม
รายละเอียดทางเทคนิคและการใช้งานนั้นจะไม่แตกต่างกันเลย  แต่ผมคิดว่าผมอยากจะเขียนรีวิวทดสอบ
การใช้งานจริง  โดยอัพเดทให้เป็นข้อมูลล่าสุด  เพื่อประโยชน์ของผู้อ่านทุกท่าน  และเชื่อว่ายังหลงเหลือ
อีกหลายท่านที่ยังไม่ได้อ่านบทความรีวิวทดสอบการใช้งานในครั้งนั้น  พร้อมเสริมเติมแต่งรายละเอียดต่างๆ
ให้มันครบถ้วนสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น  ดังนั้นทุกท่านสามารถติดต่อรออ่านได้ที่นี่ในเร็วๆ นี้...แน่นอน

เป็นอย่างไรกันบ้างกับเฉดสีใหม่ต้อนรับปี 2012 ของรองเท้าฟุตบอลไนกี้ CTR 360 Maestri II
ที่มีรหัสเรียกสั้นๆ ว่า "รอยัล บลู"  อ้อ..แล้วต้องไม่ลืมนะครับว่ารองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์นี้ได้รับการ
โหวตเข้าป้ายเป็นรองอันดับหนึ่ง "รองเท้าฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี 2011" จากชาว SiamBoots
อีกด้วย  ดังนั้นถ้าท่านใดสนใจที่จะลงสนามบัญชาเกมและควบคุมทุกสถานการณ์ในสนามแข่ง
ด้วย CTR 360 Maestri II "รอยัล บลู" คู่นี้  ตอนนี้ได้เริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยตั้งแต่วันที่
9 มกราคม 2555  ในราคา 6,500 บาท โดยวางจำหน่ายที่ร้านไนกี้ ชั้น 1 สยามเซ็นเตอร์  , ไนกี้
คอร์เนอร์  ชั้น 3 สยาม พารากอน , ชั้น 3 ซูเปอร์สปอร์ต เซ็นทรัลเวิลด์,  เอฟ.บี.ที. สปอร์ตคอม
เพล็กซ์  และร้านนกแก้ว สามารถหารายละเอียดเพิ่มได้ที่ nikefootball.in.th หรือ
facebook.com/nikefootballth

"Hand On!" ไนกี้ Mercurial Vapor VIII


ช่วงปลายเดือนมีนาคม  ย่างเข้าเดือนเมษายน เชื่อว่าผู้ชมการถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลทั่วทั้งโลก
คงจะได้สังเกตเห็นรองเท้าฟุตบอลสีส้มที่โดดเด่นสะดุดตาของนักฟุตบอลอาชีพ  จนแทบจะหา
แว่นตาดำมาใส่ชมฟุตบอลกันเลย  แน่นอนว่า..นี่คือไฮไลท์สำหรับในช่วงก่อนเข้าหน้าร้อน  ที่คนไทย
กำลังจะได้สาดน้ำสงกรานต์กัน   รองเท้าฟุตบอลรุ่นใหม่ล่าสุดจากไนกี้  Mercurial Vapor VIII คู่นี้
ที่ทางผู้ผลิตมั่นอกมั่นใจ  ว่าจะกลับมาพลิกกระแสของรองเท้าฟุตบอลสายความเร็วซี่รี่ย์ยอดฮิต  ให้กลับ
มาได้รับความนิยมอีกครั้ง  วันนี้..SiamBoots จะพาทุกท่านไปร่วมสัมผัสกับรองเท้าฟุตบอลรุ่นนี้  ดูซิว่า
มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นบ้าง

   รองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์ Mercurial Vapor ถือเป็นรองเท้าฟุตบอลที่ทำให้ไนกี้ประสบความสำเร็จมาอย่าง
ช้านาน  มีชื่อเสียงโด่งดังและได้รับความนิยม  มากที่สุดในบรรดาซีรี่ย์รองเท้าฟุตบอลทั้ง 4 ซีรี่ย์ของไนกี้
แต่ช่วงเจเนอเรชั่นหลังๆ มานี้  ดูเหมือนว่ากระแสความฮอตฮิตจะลดน้อยลงไป  หากเทียบกับเจเนอเรชั่น
แรกๆ  ดังนั้น  เจเนอเรชั่นล่าสุดนี้  Mercurial Vapor VIII จำเป็นต้องกลับมาเรียกกระแสความร้อนแรง
ให้ได้อีกครั้ง  ด้วยลูกเล่น  จุดเด่น  และการออกแบบดีไซน์ ที่แตกต่างไปจากเดิม  มีอะไรน่าสนใจมากขึ้น
กว่าเดิม 

ในเจเนอเรชั่นนี้  ไนกี้ได้ประกาศยกเลิกสายการผลิตรองเท้าฟุตบอลระดับโครตท็อป  Mercurial Vapor
SuperFly IV
ไปเรียบร้อยแล้ว (ชั่วคราว)  ดังนั้น Mercurial Vapor VIII จะเป็นรองเท้าฟุตบอลระดับ
ท็อปอีกครั้ง  และถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในยุโรป  เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2012  ที่ผ่านมา  แทบจะไม่
ต้องนั่งลุ้นชื่อของพรีเซนเตอร์หมายเลข 1 ให้ปวดหัวเวียนศีรษะกันเลย  เพราะ "คริสเตียโน่ โรนัลโด้"
นั้นมีชื่อนอนมาเป็นตัวเลือกอันดับแรกอยู่แล้ว  แต่ครั้งนี้  ไนกี้ยังกล้าคิดกล้าทำ  ด้วยการดึงเอานักกีฬา
ระดับโลก  แต่คนละประเภทกีฬามาร่วมวงด้วย  นั่นคือ "ราฟาเอล นาดาล"  ราชาแห่งคอร์ทดิน มาร่วม
แสดงในหนังโฆษณาอีกด้วย  แค่นี้มันยังน้อยไป !!  นอกจากซุปเปอร์สตาร์เจ้าของสถิติค่าตัวแพงที่สุดในโลก
แล้ว  ไนกี้ยังมีบรรดานักฟุตบอลระดับแม่เหล็กในสัญญาอีกมากมาย  ที่จะวาดลวดลายในสนามฟุตบอล
ด้วย Mercurial Vapor VIII คู่นี้  ไม่ว่าจะเป็น  ดีดิเยร์ ดร็อกบา ,ธีโอ วัลคอตต์ ,ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ,ฟรองค์  ริเบรี่ ,เมซุต โอซิล ,ฆวน มาต้า เป็นต้น ซึ่งบรรดาซุปเปอร์สตาร์เหล่านี้  ก็ได้สวมใส่ Mercurial Vapor VIII สีส้มเจิดจรัส  สร้างผลงานให้กับสโมสรต้นสังกัดตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ไนกี้เปิดตัว
รองเท้าไปเรียบร้อยแล้ว

 สำหรับบทความ "แกะกล่อง" หรือ "Hand On!" ในวันนี้  ผมจะขอพาทุกท่านมาร่วมแกะกล่อง "สีส้ม"
กล่องรองเท้าที่เป็นเอกลักษณ์ของไนกี้  เพิ่มยลโฉม Mercurial Vapor VIII สีส้มอมชมพูสะท้อนแสง
ที่มีรหัสเฉดสีอย่างเป็นทางการว่า Bright Mango/Metallic Dark Grey/Challenge Red หรือจะขอเรียก
สั้นๆ ว่า "Bright Mango"  ซึ่งเป็นเฉดสีเปิดตัวของจรวดทางเรียบโฉมล่าสุดนี่เอง  โดยรองเท้าสีแสบตา

มื่อเปิดฝากล่องขึ้น  ก็จะพบกับเจ้า Mercurial Vapor VIII "Bright Mango" นอนตะแคงสลับหัวท้าย
อยู่อย่างแน่นิ่ง  แต่เฉดสีของมันนั้นช่างโดดเด่น  น่าดึงดูดให้เข้าไปทักทายเสียเหลือเกิน  และถ้ามองถัดลงไป
จะเห็นว่าไนกี้  ยังคงแถม "ถุงใส่รองเท้า" มาให้แบบไม่มีตกหล่น  โดยถุงใส่รองเท้าที่ให้มานี้จะเป็นผ้าใบ  และ
มีสายเชือกให้สามารถสะพายบ่า  พาเจ้าจรวดทางเรียบคู่นี้เดินทางไปยังสนามแข่งขัน เป็นถุงแบบเดิมที่คุ้นกัน
เป็นอย่างดี  เฉดสีของถุงที่แถมมา  สีพื้นจะตรงกันข้ามกับสีของตัวรองเท้า

   ***หมายเหตุ*** รองเท้าที่ถูกนำเสนอในบทความนี้  จะมีทั้งคู่ที่เป็น Sample ซึ่งทางไนกี้ได้ส่งมอบมา
ให้ได้ถ่ายภาพเอาไว้ก่อน (ภาพส่วนใหญ่)  กับรองเท้าตัว Production จริงๆ ที่ถูกส่งมาให้สวมใส่ทดสอบได้
ที่ผมจะถ่ายแค่ภาพบางมุมมาสมทบกัน  ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจนะครับ  บางภาพ  ที่หุ้มส้นรองเท้าจะมีเขียน
คำว่า Sample  แต่บางภาพจะไม่มี



รองเท้าฟุตบอลไนกี้ Mercurial Vapor VIII "คือรองเท้าฟุตบอลที่มีน้ำหนักเบาที่สุดเท่าที่ไนกี้
เคยผลิตออกมา"
 ผมกล้าพูดประโยคนี้ได้อย่างเต็มปาก  โดยไม่ต้องไปเข้ากูเกิ้ล  หาข้อมูล  หรือโทรศัพท์
สายตรงไปถามที่บริษัทไนกี้  หรือแม้แต่คลิกเข้าไปที่เว็บไซด์ของตัวเองแล้วตั้งกระทู้ถามบรรดากูรูทั้งหลาย
เพราะเพียงแค่หยิบเอารองเท้าฟุตบอลสีส้ม "มะม่วง" คู่นี้ขึ้นมาวางไว้บนมือ  ก็รู้สึกได้ทันทีถึงน้ำหนักที่เบา
มากๆ  เบากว่า Mercurial Vapor SuperFly ทั้ง 3 เจเนอเรชั่นที่ไนกี้เคยผลิตออกมาอย่างชัดเจน  โดย
พิกัดน้ำหนักมาตรฐานของรองเท้าฟุตบอลรุ่นนี้จะอยู่ที่ 187 กรัม/ข้าง  เท่านั้น

   นอกเหนือจากน้ำหนักตัวที่เบาสุดๆ  สัมผัสในเรื่องของรูปทรงรองเท้าก็แตกต่างออกไป  คร่าวๆ ก็คือ
ผมสามารถรู้สึกได้ถึงรูปทรงที่เรียวยาวกว่าเดิม  จะว่าไปแล้ว  รูปทรงแบบนี้เหมือนจะคล้ายคลึงกับไนกี้
Mercurial Vapor II และ Mercurial Vapor III     ซึ่งถือเป็นเจเนอเรชั่นที่มีรูปทรงเรียวยาวมากที่สุด
(และยังเป็นเจเนอเรชั่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอีกด้วย)  ส่วนดันทรงกระดาษอัดที่ไนกี้ใส่ไว้ด้านใน
เพื่อดันไม่ให้รองเท้าเสียทรง  นั้นเป็นดันทรงรองเท้าที่ยาวมากๆ  ยาวกว่าดันทรงกระดาษของรองเท้า
ฟุตบอลไนกี้ทุกซีรี่ย์ เมื่อเทียบกับรองเท้าที่มีขนาดไซด์เดียวกัน
 
  หนังสังเคราะห์เทจิน ไมโครไฟเบอร์ (Tejin microfiber) แทบจะเป็นสัญลักษณ์เฉพาะตัวของรองเท้า
ฟุตบอลรุ่นนี้ไปแล้ว  เพราะหนังสังเคราะห์แบบพิเศษของไนกี้  ได้ถูกเลือกนำมาผลิตเป็นหน้าผ้าและวัสดุหลัก
ของรองเท้าฟุตบอลสีส้มมะม่วงคู่นี้เช่นเดิม  แต่สิ่งที่แตกต่างไปอย่างมากก็คือ  หนังสังเคราะห์เทจินฯ ของ
Mercurial Vapor VIII นั้นมีชั้นหนังที่บางกว่าเดิมเป็นอย่างมาก  ทำให้ลักษณะของตัวรองเท้ามีความนิ่ม
ขึ้นอย่างชัดเจน  เวลาที่สวมใส่เท้าเข้าไปในรองเท้า  หนังของรองเท้าจะเข้ารูปกับเท้าของผู้สวมใส่ได้แนบสนิท
ยิ่งขึ้น 

   ผิวสัมผัสของหนังก็แตกต่างออกไป  จากผิวสัมผัสของเจเนอเรชั่นที่แล้ว  ที่จะรู้สึกเหมือนหน้าผ้าจะมี
เส้นใยลื่นๆ  หนังเงาๆ    แต่ผิวสัมผัสของ Mercurial Vapor VIII จะเป็นอารมณ์ที่แตกต่าง  ผิวสัมผัสของ
หน้าผ้าจะฝืดๆ  ไม่มีการเคลือบผิวให้เงางาม  ลักษณะจะออกแนวด้านๆ  ดิบๆ 

ลักษณะข้างเท้าด้านในของ Mercurial Vapor VIII จะโค้งเว้าอย่างเห็นได้ชัด  โดยตราสัญลักษณ์
เครื่องหมายทางการค้าของไนกี้  ขนาดใหญ่  ถูกลากยาวตั้งแต่บริเวณเกือบจะด้านหน้าของรองเท้า
ไล่ยาวมาจนสุดส้นเท้า  ยิ่งทำให้ทรงของรองเท้าดูเรียวยาว  โดยตราไนกี้จะถูกปั๊มติดทับลงไปบนตัว
รองเท้าอีกชั้นหนึ่ง  ลักษณะของวัสดุจะฝืดๆ หนึบๆ  เพื่อที่จะใช้ประโยชน์ในการสัมผัสกับลูกฟุตบอล
ได้ไม่มากก็น้อย

แนวร้อยเชือกแบบตรงกลางหลังเท้า  จะเป็นแบบไม่มีอุปกรณ์ปกปิดเชือก  และเชือกมาตรฐานที่ติดตัว
รองเท้ามาจากแหล่งผลิต  ก็จะเป็นเชือกเส้นหนาและแบน  เนื้อผ้านิ่มกว่าเชือกรองเท้าซีรี่ย์อื่นๆ ของไนกี้
พอสมควร  และจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า  ลักษณะความลาดเอียงของหลังเท้า จะลาดเอียงไม่มาก  ยิ่งเสริม
ให้รูปทรงของรองเท้าฟุตบอลรุ่นนี้แลดูยาวขึ้น

 หุ้มส้นด้านในของรองเท้าฟุตบอลสายพันธุ์จรวดคู่นี้  ยังคงเป็นหน้าผ้าแบบหนังสังเคราะห์  มีฟองน้ำ
บุเอาไว้ด้านใน  หุ้มส้นจะพองตัว  จึงให้สัมผัสที่นุ่มและกระชับกับข้อเท้าของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี  แต่
หุ้มส้นส่วนล่างนั้นจะไม่มีการบุฟองน้ำไว้ด้านในเหมือนกับส่วนบน  ทำให้มีสัมผัสที่แข็งกว่า  เพราะส้นเท้า
ของผู้สวมใส่  จะไปชนกับเกราะป้องกันส้นเท้าและเอ็นร้อยหวายแบบภายใน (Internal Heel Counter)
ที่ถูกออกแบบให้ฝังตัวเข้ารูปกับส้นของรองเท้านั่นเอง


ไนกี้ยังคงเลือกใช้แผ่นรองพื้นรองเท้าแบบเดิม  ผลิตจากโฟม EVA  ที่ขึ้นรูปออกมาเป็นแผ่นบางๆ
ตามสไตล์ของรองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์นี้เป๊ะเลย  มีการเจาะรูทั่วทั้งแผ่นรองพื้น  มีจุดประสงค์เพื่อลดน้ำหนัก
ของรองเท้า  ไม่มีเทคโนโลยีเสริมการรับแรงกระแทกจำพวกวัสดุ Poron แบบที่ไนกี้ใช้กับแผ่นรองพื้น
รองเท้าระดับท็อปในซีรี่ย์อื่นๆ  ผิวหน้าสัมผัสของแผ่นรองพื้นชุดนี้  ก็เป็นผิวหน้าแบบผ้าไนล่อน  ไม่มี
การเคลือบผิวให้เหนียวหนึบ  เพื่อสร้างแรงเสียดทานกับฝ่าเท้าแต่อย่างใด
 
 อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เกิดขึ้นกับ Mercurial Vapor VIII ก็คือชุดพื้นและลักษณะแนววางปุ่ม FG
ที่ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด  หลังจากที่แนววางปุ่มแบบเก่าถูกใช้มาตั้งแต่ Mercurial Vapor VI และเหมือนว่า
จะไม่ประสบความสำเร็จเท่าไร  สำหรับลักษณะชุดพื้นแบบใหม่นี้  จะเป็นการผสมผสานระหว่างวัสดุประเภท
ไฟเบอร์กลาส (Fiberglass) ถูกขึ้นรูปเป็นพื้นชั้นแรกสุดที่ติดกับตัวรองเท้า  แต่ที่เพิ่มเข้ามา  ก็คือวัสดุประเภท
คาร์บอนไฟเบอร์ (Carbonfiber) ที่ถูกเอาเข้ามาเสริมเป็นชุดพื้นชั้นที่สอง  ตั้งแต่บริเวณกลางฝ่าเท้าไปจนถึง
ด้านท้ายสุดของรองเท้า  จากภาพจะเห็นเป็นพื้นที่สีเทาเข้ม  ซึ่งถูกขึ้นรูปทับลงไปบนชุดพื้นชั้นแรกอีกชั้นหนึ่ง
เท่านั้นยังไม่พอ  เพราะตลอดแนวของชุดพื้นทั้งหมด  ยังมีการขึ้นรูปพลาสติก TPU เสริมทับลงไปชั้นบนสุด
ตามแนวที่ต้องรับแรงกระแทกและแรงบิดตอนที่รองเท้าถูกใช้งาน  เพื่อให้มั่นใจได้ถึงความทนทานแข็งแรง

   ลักษณะแนววางปุ่มแบบ FG นั้นก็ได้ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด  จำนวนปุ่มรองเท้าที่น้อยลง  กับวัสดุที่
ยืดหยุ่นและอ่อนตัว  โอนเอนไปตามจังหวะการเคลื่อนที่
  จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการยึดเกาะที่
แม่นยำ  การเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเต็มสปีด  จึงสามารถทำได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ  จุดเด่นสำคัญ
อยู่ที่ปุ่มแนวขวางตรงกลางฝ่าเท้า  ที่จะช่วยสปรินซ์ถีบตัวให้พุ่งไปด้านหน้าได้ดีขึ้น  แนววางปุ่มทรงโค้ง
ตรงหัวรองเท้า  จะทำงานร่วมกับ Toe-off Traction Spikes ลักษณะชุดพื้นแบบฟันปลา  ในการยึดเกาะ
กับพื้นสนาม  ส่วนแนวปุ่มด้านข้างอีก 3 ปุ่มที่เหลือ  จะช่วยบังคับทิศทางการเคลื่อนที่ให้แม่นยำที่สุด


ปุ่มด้านหลังของ Mercurial Vapor VIII เป็นสิ่งที่ถูกกล่าวขาล  และเรียกเสียงฮือฮาได้มากที่สุด  เพราะ
รองเท้าปุ่ม FG คู่นี้  มีปุ่มคู่หลังเพียงแค่ 2 ปุ่มเท่านั้น !!  ท่านไม่ได้อ่านผิดครับ  นี่เป็นปุ่มแบบ FG จริงๆ
ไม่ใช่ SG แน่นอน  ดังนั้น  รองเท้าฟุตบอลรุ่นนี้จึงเป็นรองเท้าประเภท FG ที่มีจำนวนปุ่ม  นับรวมกันได้น้อย
ที่สุดในโลก  ถ้าผมตาไม่ฝาด หรือนับ 1 ถึง 10 ได้อย่างถูกต้อง  ก็จะนับจำนวนปุ่มรวมกันทั้งหมดได้เพียงแค่
8 ปุ่มเท่านั้น  นี่..มากกว่าจำนวนปุ่มรวมของปุ่ม SG เพียงแค่ 2 ปุ่มเท่านั้นเองนะ !!

   ประสิทธิภาพและความทนทานของปุ่ม FG แบบใหม่นี้  ไนกี้ค่อนข้างมั่นใจว่าจะช่วยเพิ่มความสามารถใน
การยึดเกาะกับพื้นสนามได้ดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอน  และการครอบชั้นพลาสติก TPU  ที่ถูกฉีดขึ้นรูปครอบปุ่ม
ทุกปุ่ม  ในแบบที่หนามาก  แต่กลับมีความยืดหยุ่นจนน่าแปลกใจ  จะช่วยการันตีได้ถึงความแข็งแรงทนทาน
ของปุ่มรองเท้าทั้ง 8 ปุ่ม ได้เป็นอย่างดี

 ถ้าถามผมว่า  ได้ทดสอบการใช้งานของรองเท้าฟุตบอลสายพันธุ์จรวดทางเรียบ ไนกี้ Mercurial Vapor VIII
ไปบ้างแล้วหรือยัง  ก็จะขอตอบว่า  ผมได้ลองใช้งานในสนามแข่งขันจริงๆ ไปบ้างแล้ว  แต่คงยังตอบคำถาม
หรือวิพากษ์วิจารณ์ข้อดีข้อด้อยอะไรไม่ได้  และต้องขอใช้เวลาทำความรู้จักกับรองเท้าฟุตบอลรุ่นนี้อีกสักพัก
ก่อนที่จะมาเขียนบทความรีวิวทดสอบการใช้งานจริงต่อไป  แต่อยากจะบอกว่า... ณ ตอนนี้  เวลานี้  ถ้าใคร
ไม่อยากตกเทรนด์  ก็คงต้องรีบไปหาซื้อจับจองมาเป็นเจ้าของ  เป็นอาวุธคู่กายในยามลงสนามกันตั้งแต่เนิ่นๆ
ได้แล้ว  เพราะกระแสของรองเท้าฟุตบอลรุ่นนี้  ร้อนแรงเสียยิ่งกว่าสีส้มอมชมพูสุดแสบตาของมันเสียอีก 

 ขณะที่ท่านกำลังอ่านบทความ "Hand On!" นี้อยู่  ไนกี้ได้วางจำหน่าย Mercurial Vapor VIII
บนชั้นขายรองเท้า ในราคา 7,600 บาท ไปเรียบร้อยแล้ว   โดยวางจำหน่ายที่ร้านไนกี้  ชั้น 1
สยามเซ็นเตอร์, ไนกี้ คอร์เนอร์  ชั้น 3 สยาม พารากอน , ชั้น 3 ซูเปอร์สปอร์ต เซ็นทรัลเวิลด์,
เอฟ.บี.ที. สปอร์ตคอมเพล็กซ์ ,ร้าน อาริ คอนเซปสโตร์  และร้านนกแก้ว  โดยท่านสามารถหา
รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ nikefootball.in.th หรือfacebook.com/nikefootballth

ขอขอบคุณ เว็บ siamboots.com ที่สนับสนุนรูปและบทความ